เมนู

นั้น. ก็จำหน่ายเครื่องประดับนั้น เอาทรัพย์ 9 โกฏิมาสร้างพระคันธกุฎี
เป็นที่ประทับอยู่สำหรับพระตถาคตในวิหารชื่อว่าบุพพาราม อันประดับ
ด้วยห้อง 1,000 ห้อง.
ก็นิเวศน์ของนางวิสาขา เวลาเช้าก็มลังเมลืองด้วยผ้ากาสาวะ
คลาคล่ำไปด้วยนักแสวงบุญ. ในเรือนแม้ของนางวิสาขานั้น ก็จัดทานไว้
พร้อมสรรพเหมือนในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. นางวิสาขานั้น
เวลาเช้าก็ทำอานิสสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์ ภายหลังอาหารก็ให้บ่าวไพร่
ถือเภสัช ยา และน้ำอัฐบานไปยังวิหารถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ฟังพระธรรม-
เทศนาของพระศาสดาแล้วก็กลับมา. ภายหลังต่อมา พระศาสดาเมื่อทรง
สถาปนาเหล่าอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนา
นางวิสาชามิคารมารดาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา
ผู้ชายทาน
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 2

อรรถกถาสูตรที่ 3 - 4


3 - 4 ประวัตินางขุชุตตราและนางสามาวดี



ในสูตรที่ 3 และที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
โดยบทว่า พหุสฺสุตานํ ยทิทํ ขุชฺชุตฺตรา เมตฺตาวิหารีนํ ยทิทํ
สามาวตี
ท่านแสดงว่า นางขุชชุตตราเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้เป็น
พหูสูต. นางสามาวดีเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา.
ได้ยินว่า แม้นางทั้งสองครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมาคิดกันว่าจักฟังธรรมกถาของ

พระศาสดา จึงพากันไปวิหาร. นางทั้งสองนั้น นางขุชชุตตราเห็นพระ-
ศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวก
อุบาสิกาอริยสาวิกาผู้เป็นพหูสูต จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนา
ตำแหน่งนั้น. นางสามาวดีเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้
ในตำแหห่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาอริยสาวิกาผู้อยู่ด้วยเมตตา
จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. เมื่อนางทั้งสองทำ
กุศลจนตลอดชีวิตก็บังเกิดในเทวโลกะ เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์
นั่นแล เวลาก็ล่วงไปถึงแสนกัป.
ครั้งนั้น ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด. เถิดอหิวาตกโรคขึ้นใน
แคว้นอัลลกัปปะ ในเรือนหลังหนึ่งๆ คน 10 คนบ้าง 20 คนบ้าง
30 คนบ้าง ก็ตายพร้อม ๆ กันนั่นแหละ. ส่วนผู้คนที่ไปนอกแคว้น
ก็รอดชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งรู้เรื่องนั่นแล้วก็พาบุตรภริยาของตนไปนอกแคว้น
นั้น ด้วยหมายจะไปแคว้นอื่น. คราวนั้นเสบียงเดินทางที่เอามาในเรือน
ของบุรุษนั้นยังไม่ทันข้ามทางกันดารในระหว่างทาง ก็หมดสิ้นไป.
เรี่ยวแรงร่างกายของพวกเขาก็ลดลง. มารดาอุ้มบุตรไปได้ประเดี๋ยวหนึ่ง
บิดาก็บุตรไปได้ประเดี๋ยวหนึ่ง. ครั้งนั้น บิดาของบุตรนั้น จึงคิดว่า
เรี่ยวแรงร่างกายของเราลดลงแล้ว จะแบกบุตรเดินไปคงไม่อาจข้ามทาง
กันดารไปได้. บุรุษนั้นไม่ให้มารดาบุตรรู้ ให้บุตรนั่งที่ทางทำเป็นเหมือน
ละไว้ไปหาน้ำ แล้วก็เดินทางไปลำพังคนเดียว. คราวนั้นภริยาของบุตร
นั้นยืนคอยเขามาไม่เห็นบุตรในมือก็ร้องกล่าวว่า บุตรฉันไปไหนล่ะนาย
เขาพูดปลอบว่า เจ้าต้องการบุตรไปทำไม เรายังมีชีวิตอยู่ก็จักได้บุตรเอง
นางกล่าวว่า ชายผู้นี้ใจร้ายนักหนอ แล้วกล่าวว่า ท่านไปเถิด ฉันไม่ไป

กับท่านดอก, เขากล่าวว่า แม่นางจ๋า ฉันไม่ทันใคร่ครวญได้ทำไปแล้ว
จงยกโทษข้อนั้นแก่ฉันเสียเถิดแล้วก็พาบุตรไป. คนเหล่านั้นข้ามทาง
กันดารนั้นแล้ว เวลาเย็นก็ถึงบ้านคนเลี้ยงโคตำบลหนึ่ง.
วันนั้น พวกบ้านคนเลี้ยงโค หุงปายาสไม่มีน้ำ เห็นคนเหล่านั้น
ก็คิดว่า คนเหล่านี้คงหิวจัด จึงเอาปายาสใส่เต็มภาชนะใหญ่ ลาดเนยเต็ม
กระบวยให้ไป เมื่อคนเหล่านั้นบริโภคข้าวปายาสนั้น สตรีนั้นก็บริโภค
พอประมาณ ส่วนบุรุษบริโภคเกินประมาณ ไม่อาจให้ไฟธาตุย่อยได้
ก็ทำกาละเสียในเวลาหลังเที่ยงคืน เขาเมื่อทำกาละ เพราะยังมีความอาลัย
ในคนเหล่านั้น จึงถือปฏิสนธิในท้องนางสุนัขในเรือนของพวกคนเลี้ยง
โค. ไม่นานนัก นางสุนัขก็ออกลูก คนเลี้ยงโคเห็นสุนัขนั้น มีลักษณะ
สง่างามก็ปรนเปรอด้วยก้อนข้าว จึงพาสุนัขที่เกิดความรักในตนเที่ยวไป
ด้วยกัน.
ต่อมาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาถึงประตูเรือนของคน
เลี้ยงโค ในเวลาแสวงหาอาหาร คนเลี้ยงโคนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธ-
เจ้านั้นแล้ว ก็ถวายอาหาร ถือปฏิญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะอยู่
อาศัยตน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เข้าอยู่ ณ ราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลสกุลคน
เลี้ยงโค คนเลี้ยงโคไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็พาสุนัขนั้นไปด้วย
ก็ตีต้นไม้หรือแผ่นหิน เพื่อไล่สัตว์ร้าย ในที่อยู่สัตว์ร้าย ระหว่างทาง
แม้สุนัขนั้นกำหนดวิธีทำของคนเลี้ยงโคนั้นไว้ ต่อมาวันหนึ่งคนเลี้ยงโค
นั่งในสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมมาไม่ได้ทุกครั้ง
แต่สุนัขนี้ฉลาด โดยสัญญาจำหมายที่สุนัขนี้มาแล้ว ก็จะพึงมายังประตู
เรือนของกระผมได้ วันหนึ่ง คนเลี้ยงโคนั้น ก็ส่งสุนัขไปด้วยกล่าวว่า

เจ้าจงพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามา สุนัขนั้นฟังคำของคนเลี้ยงโคนั้น ก็ไปใน
เวลาแสวงหาอาหาร ก็เอาอกหมอบแทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้ารู้ว่าสุนัขนี้มาสำนักเราแล้ว ก็ถือบาตรจีวรเดินทาง แต่ท่าน
จะทดลองสุนัขนั้น จึงแยกออกเดินทางอื่น สุนัขก็ยืนข้างหน้า ต้อนให้
ไปทางที่ไปหมู่ม้านคนเลี้ยงโค ก็ในที่ใด คนเลี้ยงโคตีต้นไม้หรือแผ่นหิน
เพื่อขับไล่สัตว์ร้าย สุนัขถึงที่นั้นแล้ว ก็ส่งเสียงเห่าดัง ๆ ด้วยเสียงของ
สุนัขนั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายก็หนีไป แม้พระปัจเจกเทพุทธเจ้าก็ให้ก่อนข้าว
ที่เย็น ๆ ก้อนใหญ่แก่มัน เวลาฉันเสร็จแล้ว แม้สุนัขนั้นก็รักอย่างยิ่งใน
พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความอยากได้ก้อนข้าว คนเลี้ยงโคถวายผ้าพอแก่
การที่จะทำจีวรได้ 3 ผืน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดไตรมาสแล้วกล่าว
ว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านชอบใจ ก็โปรดอยู่เสียในที่นี้นี่แหละ แต่ถ้าไม่
ชอบใจ ก็โปรดไปได้ตามสบาย พระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงอาการว่าจะไป
คนเลี้ยงโคตามไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็กลับ สุนัขรู้ว่าพระปัจเจก-
พุทธเจ้าไปที่อื่น ก็เกิดความโศกเศร้าอย่างแรง เพราะรัก หัวใจแตกตาย
ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. ก็โดยที่สัตว์ร้ายหนีไป เพราะสุนัขนั้นทำ
เสียงดังเวสาไปกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เสียงของเทวบุตรนั้น เมื่อพูดกับ
เหล่าเทวดาจึงกลบเสียงเทวดาเสียสิ้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล เทวบุตรนั้นจึง
ได้ชื่อว่าโฆสกเทพบุตร ก็เมื่อโฆสกเทพบุตรนั้น เสวยสมบัติในดาวดึงส์
นั้น พระราชาพระนามว่าอุเทนเสวยราชสมบัติ ณ กรุงโกสัมพี ถิ่นมนุษย์
เรื่องพระเจ้าอุเทน พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาโพธิ-
ราชกุมารสูตรนั่นแล.
เมื่อพระเจ้าอุเทนนั้นครองราชย์อยู่ โฆสกเทพบุตร ก็จุติถือปฎิ-

สนธิในครรภ์ของสตรีผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพผู้หนึ่ง ในกรุงโกสัมพี ล่วงไป
10 เดือน นางก็คลอดบุตร รู้ว่าเป็นชายก็ให้ทิ้งเสียที่กองขยะ. ขณะนั้น
คนทำงานของโกสัมพิกเศรษฐี กำลังเดินไปเรือนเศรษฐีแต่เช้าตรู่ สงสัย
ว่าสิ่งนี้อะไรหนอที่เหล่ากากลุ้มรุมกันอยู่ ก็เข้าไปพบทารก คิดว่าทารกนี้
จักมีบุญ จึงส่งเด็กไว้ในมือบุรุษผู้หนึ่งให้นำไปสู่เรือน (ตน) แล้วก็ไป
เรือนเศรษฐี ฝ่ายเศรษฐีกำลังไปยังราชสกุลในเวลาเข้าเฝ้า พบปุโรหิตใน
ระหว่างทาง ก็ถามว่า วันนี้ ดาวฤกษ์อะไร ปุโรหิตนั้นยืนอยู่ตรงนั้น
นั่นแหละ. ก็คำนวณแล้วกล่าวว่า ดาวฤกษ์ชื่อโน้น ทารกที่เกิดตามดาว
ฤกษ์นี้ในวันนี้ จักได้ตำแหน่งเศรษฐีในนครนี้ เศรษฐีนั้น ฟังคำของ
ปุโรหิตนั้นแล้ว ก็รีบส่งคนไปยังเรือนว่า ท่านปุโรหิตคนนี้ไม่พูดเป็น
คำสอง หญิงแม่เรือนมีครรภ์แก่ของเรามีอยู่ พวกเจ้าจงตรวจดูนางว่า
ตลอดแล้วหรือยัง คนเหล่านั้นไปสำรวจรู้แล้วก็กล่าวว่า นายท่าน หญิง
มีครรภ์แก่นั้นยังไม่คลอด. เศรษฐีจึงสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปหา
ทารกที่เกิดในวันนี้ ในนครนี้ คนเหล่านั้นแสวงหาก็พบทารกนั้นในเรือน
ของคนทำงานของเศรษฐีนั้นแล้วบอกแก่เศรษฐี. เศรษฐีกล่าวว่า เจ้า-
พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปเรียกคนทำงานมา คนเหล่านั้นก็เรียก
คนทำงานมา เศรษฐีถามเขาว่า เขาว่า เรือนเจ้ามีทารกหรือ เขาตอบว่า
มีขอรับ นายท่าน เศรษฐีบอกว่า เจ้าให้ทารกนั้นแต่เราเถิด เขาว่า
ให้ไม่ได้ดอกนายท่าน. เศรษฐีกล่าวว่า เจ้ารับทรัพย์ 1,000 แล้วให้เถิด.
คนทำงานนั้นคิดว่า ทารกนี้จะเป็นหรือตาย ข้อนี้ก็รู้กันยาก ดังนี้จึงรับ
ทรัพย์ 1,000 แล้วให้ทารกไป.
ลำดับนั้นเศรษฐีคิดว่า ถ้าภริยาเราตลอดธิดา ก็จักทำทารกนี้ให้

เป็นบุตร ถ้าคลอดบุตร ก็จักทำทารกนี้ให้ตาย ครั้นคิดแล้ว ก็เลี้ยง
ทารกไว้ในเรือน. ครั้งนั้น ภริยาของเศรษฐีนั้นก็คลอดบุตร โดยล่วงไป
2-3 วัน แต่นั้น เศรษฐีก็คิดจะให้พวกโคเหยียบทารกนั้นเสียให้ตาย
จึงสั่งว่า พวกเจ้าจงเอาทารกนี้ไปนอนที่ประตูคอก คนทั้งหลายก็ให้ทารก
นั้นนอนที่ประตูคอกนั้น. ครั้งนั้น โคอุสภะจ่าฝูงออกไปก่อน เห็นทารก
นั้นก็ยืนคร่อมไว้ในระหว่างเท้าทั้ง 4 ด้วยหมายใจว่า โคตัวอื่น ๆ จักไม่
เหยียบทารกนั้น. ด้วยอาการอย่างนี้ ขณะนั้น คนเลี้ยงโคพบทารกนั้น
คิดว่า ทารกนี้แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักคุณ คงเป็นผู้มีบุญมาก เราจัก
เลี้ยงทารกนั้น แล้วก็นำไปเรือนตน.
ฝ่ายเศรษฐีทราบว่าทารกนั้นยังไม่ตาย ได้ฟังเขาว่า พวกคนเลี้ยงโค
นำไป ก็ให้ทรัพย์ 1,000 แล้วให้ทิ้งเสียที่สุสานศพสด. เวลานั้น คน
เลี้ยงแพะในเรือนเศรษฐี อาศัยสุสานนำแม่แพะไปเลี้ยง แพะแม่นมตัวหนึ่ง
เพราะบุญของทารก ขาไป ก็แวะจากทางไปให้นมทารกแล้วก็ไป ขากลับ
จากที่นั้น ก็ไปให้นมทารกที่นั้นนั่นแหละ คนเลี้ยงแพะคิดว่า แม่แพะ
ตัวนี้แวะจากที่นี้ไปแต่เช้า เพราะเหตุอะไรกันหนอ จึงเดินไปตรวจดูก็รู้ถึง
ทารกนั้นว่า ทารกนี้คงมีบุญมาก แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานยังรู้คุณ จำเราจัก
เลี้ยงทารกนั้นไว้ แล้วพาไปเรือน.
ฝ่ายเศรษฐี ก็ให้ตรวจตราดูอีกว่า ทารกนั้นตายหรือไม่ตาย รู้ว่า
คนเลี้ยงแพะรับไว้ ก็ให้ทรัพย์ 1,000 สั่งว่า พรุ่งนี้ บุตรนายกองเกวียน
คนหนึ่ง จักเข้าไปยังนครนี้ พวกท่านจงนำทารกนี้ไปวางไว้ที่ทางล้อ
เกวียน ล้อเกวียนนั้นก็จักเฉือนไปอย่างนี้ เหล่าโคในเกวียนเล่มแรกของ
นายกองเกวียน แลเห็นทารกที่เขาวางไว้ที่ทางล้อเกวียนนั้น ก็ยืนเอาเท้า

ทั้ง 4 คร่อมเหมือนเสาค้ำกันอยู่ฉะนั้น. นายกองเกวียนสงสัยว่านั่นอะไร
กันหนอ ก็รู้เหตุที่โคเหล่านั้นหยุดยืน เห็นทารกแล้วเข้าใจว่าทารกมีบุญ
มาก ควรเลี้ยงไว้ จึงพาไปแล้ว.
ฝ่ายเศรษฐีก็ให้สำรวจว่าเด็กนั้นตายหรือไม่ทายที่ทางเกวียน ทราบ
ว่านายกองเกวียนรับไป ก็ให้ทรัพย์ 1,000 แม้แต่นายกองเกวียนนั้น
สั่งให้โยนเหวในที่ไม่ไกลพระนคร ทารกนั้น เมื่อตกไปในเหวนั้น ก็ตก
ลงที่โรงช่างสานในที่ทำงานของพวกช่างสาน โรงช่างสานนั้น ได้เป็น
เสมือนสัมผัสด้วยปุยฝ้าย 100 ชั้น ด้วยอานุภาพบุญของทารกนั้น. ครั้งนั้น
หัวหน้าช่างสานเข้าใจว่าทารกนี้มีบุญควรเลี้ยงไว้ จึงพาทารกนั้นไปเรือน.
เศรษฐีให้เสาะหาในที่ ๆ ทารกตกเหวว่าตายหรือไม่ตาย ทราบว่า
หัวหน้าช่างสานรับไป ก็ให้ทรัพย์ 1,000 แม้แก่หัวหน้าช่างสานนั้น
ให้นำทารกมา ต่อมา ทั้งบุตรของเศรษฐีเอง ทั้งทารกนั้น ทั้งสองคน
ก็เจริญเติบโต.
เศรษฐีก็ครุ่นคิดแต่อุบายที่จะให้เด็กโฆสกะตาย จึงไปเรือนช่าง
หม้อของตน พูดเป็นความลับว่า พ่อคุณ ที่เรือนฉันมีเด็กสกุลต่ำต้อย
อยู่คนหนึ่ง ควรจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เด็กนั้นตายเสีย ช่างหม้อนั้น
ก็ปิดหูทั้งสองกล่าวว่า ไม่ควรพูดถ้อยคำที่หนักเห็นปานนี้ แต่นั้น เศรษฐี
คิดว่า ช่างหม้อนี้จักไม่ทำโดยไม่ได้อะไร จึงกล่าวว่า เอาเถิดพ่อคุณ
จงเอาทรัพย์ไป 1,000 ทำงานนี้ให้สำเร็จ ขึ้นชื่อว่าสินบน ย่อมทำลายสิ่งที่
ทำลายไม่ได้ง่าย เพราะเหตุนั้น ช่างหม้อนั้นได้ทรัพย์ 1,000 แล้ว ก็รับ
แล้วกล่าวว่า นายท่าน กระผมจักจุดไฟเตาเผาหม้อในวันชื่อโน้น ขอนาย
ท่านจงส่งทารกนั้นไป ในวันโน้น เวลาโน้น. ฝ่ายเศรษฐีรับคำของช่าง

หม้อนั้นแล้ว นับวันตั้งแต่วันนั้น รู้ว่าวันที่ช่างหม้อนัดไว้มาถึงแล้ว ก็
ให้เรียกนายโฆสกะมาสั่งว่า ลูกเอ๋ย พ่อต้องการภาชนะจำนวนมาก ในวัน
ชื่อโน้น เจ้าจงไปหานายช่างหม้อบอกว่า ได้ยินว่า มีงานที่บิดาเราพูดไว้
แก่ท่านอย่างหนึ่ง วันนี้ขอท่านจงทำงานนั้นให้สำเร็จ นายโฆสกะรับคำ
ของเศรษฐีนั้นว่า ดีละ แล้วก็ออกไป. ขณะนั้น ในระหว่างทางลูกตัวของ
เศรษฐีกำลังเล่นกีฬาขลุบ จึงรีบไปพูดว่า พี่จ๋า ฉันกำลังเล่นกับพวกเด็กๆ
ด้วยกัน ถูกเขาเอาชนะเท่านี้ พี่จงกลับเอาชนะเขาให้ฉันนะ. นายโฆสกะ
กล่าวว่า บัดนี้ โอกาสของพี่ไม่มี ท่านบิดาใช้พี่ไปหาช่างหม้อด้วยกิจรีบ
ด่วนจ้ะ. ลูกตัวเศรษฐีพูดว่า พี่จ๋า ฉันจะตกไปแทนเอง พี่จงเล่นกับเด็ก
เหล่านี้ นำโชคกลับมาให้ฉันนะ. นายโฆสกะกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้า
ไปเถิด แล้วบอกล่าวที่บิดาบอกแก่ตน แก่น้องชายนั้น แล้วเล่นเสียกับ
พวกเด็ก ๆ. เด็กแม้นั้น [น้องชาย] ไปหาช่างหม้อแล้วบอกข่าวนั้น.
ช่างหม้อกล่าวว่า ดีละพ่อคุณ เราจักทำงานให้สำเร็จ แล้วให้เด็กนั้นเข้าไป
ในห้อง เอามีดคมกริบตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใส่หม้อปิดปากหม้อวางไว้
ระหว่างภาชนะ แล้วจุดไฟเตาเผาหม้อ นายโฆสกะเล่นชนะเป็นอันมาก
ก็นั่งคอยน้องมา เขารู้ว่า น้องชักช้า ก็ไปยังส่วนหนึ่งของเรือนช่างหม้อ
ในที่ไหน ๆ ก็ไม่พบ คิดว่า น้องคงจักกลับไปบ้านแล้ว จึงกลับไปเรือน.
เศรษฐีเห็นเขาเดินมาแต่ไกล ก็สงสัยว่า จักมีเหตุอะไรหรือหนอ ก็เรา
สั่งมันไปหาช่างหม้อ เพื่อให้ฆ่ามันให้ตาย บัดนี้ เจ้าเด็กนั้น ยังมาในที่นี้
อีก. เขามาถึงจึงถามเขาว่า เจ้าไม่ไปหาช่างหม้อดอกหรือลูก นายโฆสกะ
จึงบอกเหตุที่ตนกลับ และเหตุที่น้องชายไป เศรษฐีฟังคำเขาแล้ว เป็น
เหมือนถูกแผ่นดินใหญ่ถล่มทับสัก 100 ครั้ง จิตหมุนไปว่า เจ้าพูดเรื่อง

อะไรอย่างนี้หรือ แล้วก็รีบไปหาช่างหม้อ พูดโดยถ้อยคำที่ไม่ควรพูดใน
สำนักคนเหล่าอื่นว่า ดูสิพ่อคุณ ดูสิพ่อคุณ ช่างหม้อกล่าวว่า ท่านให้ดู
อะไรเล่า งานนั้นเสร็จไปแล้ว แต่นั้น เศรษฐีนั้นก็กลับไปเรือน.
ตั้งแต่นั้นมา โรคทางใจก็เกิดแก่เศรษฐีนั้น สมัยนั้น เศรษฐีนั้นกินไม่
ได้ด้วยโรคทางใจนั้น ครุ่นคิดว่า ควรจะเห็นความพินาศของศัตรูของบุตรเรา
ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง เรียกนายโฆสกะ
มาสั่งด้วยปากว่า เจ้าจงถือหนังสือนี้ไปหาคนทำงานของพ่อที่มีอยู่บ้านชื่อ
โน้น จงบอกว่า ได้ยินว่า ท่านจงรีบทำเรื่องที่มีอยู่ในหนังลือ ระหว่างทาง
จงไปเรือนเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อคามิกเศรษฐีสหายของพ่อ กินอาหารแล้ว
พึงไป แล้วได้มอบสาสน์ให้ไป นายโฆสกะนั้นไหว้เศรษฐีแล้ว รับหนังสือ
ออกไป ระหว่างทางไปถึงสถานที่อยู่ของคามิกเศรษฐีแล้ว ถามถึงเรือน
ของเศรษฐี ยืนไหว้คามิกเศรษฐีนั้น ซึ่งนั่งอยู่นอกซุ้มประตูกำลังให้ช่าง
แต่งหนวดอยู่ เมื่อถูกถามว่า พ่อเอ๋ย เข้ามาแต่ไหนล่ะ จึงตอบว่า ท่าน
พ่อ ผมเป็นบุตรโกสัมพิยเศรษฐี ขอรับ. คามิกเศรษฐีนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า
บุตรเศรษฐีสหายเรา. ขณะนั้น ทาสีคนหนึ่งของธิดาเศรษฐี นำดอกไม้
มาให้ธิดาเศรษฐี. ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะทาสีนั้นว่า พักงานนั้น
ไว้เสีย จงล้างเท้าพ่อโฆสกะ จัดที่นอนให้. ทาสีนั้นก็ทำตามคำสั่งแล้วไป
ตลาด นำดอกไม้มาให้ธิดาเศรษฐี. ธิดาเศรษฐีเห็นทาสีนั้นแล้วก็ดุนางว่า
วันนี้ เจ้าชักช้าอยู่ข้างนอกนานนัก โกรธแล้วจึงกล่าวว่า เจ้ามัวทำอะไรใน
ที่นั้นตลอดเวลาเท่านี้ ทาสีกล่าวว่า แม่เจ้าอย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่เคยเห็น
ชายหนุ่มรูปงามเห็นปานนี้เลย เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐี
สหายบิดาของแม่เจ้า ดิฉันไม่อาจกล่าวถึงรูปสมบัติของเขาได้ ดิฉันกำลัง

จะไปนำดอกไม้มา ท่านเศรษฐีก็ใช้ให้ดิฉันล้างเท้าชายหนุ่มคนนั้น ให้
จัด ที่นอนให้ ด้วยเหตุนั้น ดิฉันจึงชักช้าอยู่ข้างนอกเสียนาน เจ้าค่ะ. ธิดา
เศรษฐีแม้นั้น ได้เคยเป็นแม่เรือนของชายหนุ่มนั้น ในอัตภาพที่ 4
เพราะเหตุนั้น ตั้งแต่ได้ฟังคำของทาสีนั้น ก็ไม่รู้สึกตัวว่ายืน ไม่รู้สึกตัวว่า
นั่ง นางก็พาทาสีนั้นไปยังที่นายโฆสกะนั้นนอนอยู่ มองดูเขากำลังหลับ
เห็นหนังสือที่ชายผู้ สงสัยว่านั่นหนังสืออะไร ไม่ปลุกชายหนุ่มให้ตื่น
หยิบหนังสือเอามาอ่าน ก็รู้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ถือหนังสือฆ่าตัวไปด้วยตนเอง
จึงฉีกหนังสือนั้น. เมื่อชายหนุ่มนั้นยังไม่ตื่น ก็เขียนหนังสือ [เปลี่ยน
ความเสียใหม่ ] ว่า ท่านจงส่งสาสน์ของเราไปว่า เราส่งบุตรไปยังสำนัก
ท่าน คามิกเศรษฐีสหายเรามีธิดาเจริญวัยแล้ว ท่านจงรีบรวบรวมทรัพย์
ที่เกิดในที่อาณาบริเวณของเรา ถือเอาธิดาของคามิกเศรษฐี ทำการมงคล
แก่บุตรของเรา ด้วยทรัพย์ทุกอย่าง ๆ ละ 100 แล้ว เมื่องานมงคล
เสร็จ ท่านจงส่งสาสน์ให้เราทราบว่า ทำการมงคลแล้วด้วยวิธีนี้ เรา
จักรู้กิจที่พึงทำแก่ท่านในที่นี้ ใส่ตราหนังสือนั้นแล้วก็ผูกไว้ที่ชายผ้าเหมือน
เดิม ชายหนุ่มแม้นั้นอยู่บ้านคามิกเศรษฐีนั้นวันหนึ่งแล้ว รุ่งขึ้นก็อำลา
เศรษฐีไปยังบ้านของคนทำงานมอบหนังสือนั้นให้ คนทำงานอ่านหนังสือ
แล้ว ก็ให้ประชุมชาวบ้านกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย อย่าสนใจเราเลย นาย
ของเราส่งข่าวมายังสำนักเราว่า จงนำเด็กหญิงมาด้วยทรัพย์ทุกอย่าง ๆ
ละ 100 แก่บุตรคนโตของตน พวกท่านจงรีบรวบรวมทรัพย์ที่เกิดในที่
นี้มา แล้วก็จัดการพิธีมงคลเครื่องสักการะ. [แต่งงาน] ทุกอย่าง ส่งข่าว
แก่คามิกเศรษฐีให้รับแล้ว ให้ตกลงงานมงคล [สมรส] ด้วยทรัพย์

ทุกอย่าง ๆ ละ 100 แล้วส่งหนังสือถึงโกสัมพิก1เศรษฐีว่า ข้ารู้ข่าวใน
หนังสือที่ท่านส่งไปแล้ว ก็กระทำกิจอย่างนี้ ๆ เสร็จแล้ว.
เศรษฐีฟังข่าวนั้นแล้วเหมือนถูกเผาแล้วในกองไฟฉะนั้น ถึงความ
เป็นโรคลงโลหิต เพราะอำนาจที่คิดว่า บัดนี้เราวอดวายแล้ว ดังนี้ ก็ให้คน
เรียกนายโฆสกะนั้นด้วยคิดจะทำอุบายบางอยู่ หมายใจว่าจักทำมันไม่ให้เป็น
เจ้าของทรัพย์สมบัติของตน ตั้งแต่งานมงคลเสร็จแล้ว ก็ส่งข่าวไปว่า เหตุไร
บุตรของเราจึงอยู่เสียภายนอก จงรีบกลับมาเถิด เมื่อชายหนุ่มฟังข่าวแล้ว
ก็เริ่มจะไป ธิดาเศรษฐีคิดว่า สามีนี้เขลา ไม่รู้ดอกว่า สมบัตินี้อาศัยเราจึง
ได้มา ควรที่เราจะทำบางอย่าง แล้วก็ทำอุบายห้ามแม้การไปของเขาเสีย แต่
นั้นจึงกล่าวกะสามีว่า พ่อหนุ่มอยู่รีบด่วนนักเลย ดิฉันก็จะไปบ้านของ
สกุล ธรรมดาว่าผู้ไปควรจะตระเตรียมการของตนแล้วจึงค่อยไป ฝ่าย
โกสัมพิกเศรษฐีรู้ว่าบุตรนั้นชักช้าอยู่ ก็ส่งข่าวไปอีกว่า เหตุไรบุตรเราจึง
ชักช้าอยู่ เราเป็นโรคลงโลหิต ควรที่เจ้าจะมาพบเราขณะที่ยังเป็นอยู่. เวลา
นั้น ธิดาเศรษฐีก็บอกแก่สามีนั้นว่า เศรษฐีนั้นไม่ใช่บิดาของท่านดอก
ท่านก็ยังเข้าใจว่าเป็นบิดา เศรษฐีนั้นส่งหนังสือแก่คนทำงาน เพื่อให้
เขาฆ่าท่าน ดิฉันจึงเปลี่ยนหนังสือนั้น เขียนข้อความเสียใหม่ ทำสมบัติ
นี้ให้เกิดแก่ท่าน เศรษฐีนั้นเรียกท่านไป หมายใจจะทำท่านไม่ให้เป็น
บุตรต่างหาก ท่านจงรอการตายของเศรษฐีนั้นเถิด.
ครั้งนั้น นายโฆสกะไม่ไปด้วยทั้งที่เศรษฐีนั้นก็เป็นอยู่ ต่อทราบ
ว่าเขาเพียบหนัก จึงไปนครโกสัมพี แม้ธิดาเศรษฐีก็ให้สัญญาจำหมาย
ภายนอกแก่สามีนั้นว่า ท่านเมื่อเข้าไป ก็จัดอารักขาไว้ทั่วบ้านจึงเข้าไป

1. ม. 329 เป็นคนเดียวกันกับโกสัมพิยเศรษฐี.

ตนเองก็ไปพร้อมกับบุตรเศรษฐี ยกแขนทั้งสองขึ้นทำเป็นร่ำไห้ไปใกล้ ๆ
เศรษฐี ซึ่งนอนอยู่ในที่ค่อนข้างมืด เอาศีรษะกระแทกตรงหัวใจ เศรษฐี
นั้นก็ทำกาละด้วยการกระแทกนั้นนั่นแหละ เพราะเขาหมดกำลัง. ชายหนุ่ม
ก็ทำสรีระกิจของบิดา ให้สินบนแก่คนใกล้ชิดว่า พวกท่านจงบอกว่าฉัน
เป็นบุตรตัวของเศรษฐี จากนั้นวันที่ 7 พระราชาทรงดำริว่าควรจะได้
คน ๆ หนึ่ง ซึ่งควรแก่ตำแหน่งเศรษฐี จึงทรงส่งคนไปสำรวจว่า เศรษฐี
มีบุตรหรือไม่มีบุตร. พวกคนใกล้ชิดเศรษฐีก็กราบทูลพระราชาถึงว่า
เศรษฐีมีบุตร พระราชาทรงรับรองแล้ว ก็ได้พระราชทานตำแหน่ง
เศรษฐีแก่เขา เขาก็ชื่อว่าโฆสกเศรษฐี. ครั้งนั้น ภริยาก็กล่าวกะสามีว่า
พ่อเจ้า ท่านก็เกิดมาต่ำ ดิฉันก็บังเกิดในสกุลตกยาก เราได้สมบัติเห็น
ปานนี้ ก็ด้วยอำนาจกุศลที่เราทำกันแต่ปางก่อน แม้บัดนี้เราก็จักทำกุศล.
สามก็รับปากว่า ดีละน้องเอ๋ย ก็สละทรัพย์ 1,000 กหาปณะทุกวัน ตั้ง
ทานไว้เป็นประจำ.
ในสมัยนั้น บรรดาชนทั้งสองนั้น นางขุชชุตตรา จุติจากเทวโลก
ถือปฏิสนธิในครรภ์ของแม่นม ในเรือนของโฆสกเศรษฐี เวลาที่เกิด
นางมีร่างค่อม เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า ขุชชุตตรา.
ส่วนนางสามาวดี จุติจากเทวโลกแล้ว ถือปฏิสนธิในเรือนของ
ภัททวติยเศรษฐี แคว้นภัททวติยะ. ต่อมานครนั้นเถิดฉาตกภัยอดอยาก
ผู้คนทั้งหลายกลัวอดอยาก จึงแยกย้ายกันไป. ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐี
นี้ปรึกษากับภริยาว่า น้องเอ๋ย ฉาตกภัยนี้ยังไม่ปรากฏภายใน จำเราจักไป
หาโฆสกเศรษฐีสหายเราในกรุงโกสัมพี สหายนั้นพบเรา คงจักไม่รู้จัก
นัยว่าเศรษฐีนั้นได้เป็นสหายที่ไม่เคยเห็นกันของโฆสกเศรษฐีนั้น เพราะ

เหตุนั้น จึงกล่าวอย่างนี้. ภัททวติยเศรษฐีนั้น ให้คนที่เหลือกลับกันแล้ว
ก็พาภริยาและธิดาเดินทางไปกรุงโกสัมพี ทั้งสามคนประสบทุกข์เป็นอัน
มากในระหว่างทาง ก็บรรลุกรุงโกสัมพีตามลำดับ พักอาศัยอยู่ ณ ศาลาหลัง
หนึ่ง. ฝ่ายโฆสกเศรษฐี ให้เขาจัดมหาทานแก่พวกคนกำพร้า คนเดินทาง
ไกล วณิพก และยาจกใกล้ประตูเรือนของตน. ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐีนี้
ก็คิดว่า เราไม่อาจแสดงตัวแก่เศรษฐีสหาย ด้วยเพศของตนกำพร้านี้ได้
เมื่อร่างกายเป็นปกติ เรานุ่งห่มดีแล้วจึงจักไปพบเศรษฐี แม้ทั้งสองคน
ก็ส่งธิดาไปโรงทานของโฆสกเศรษฐี เพื่อนำอาหารมาให้ตน ธิดานั้นก็
ถือภาชนะไปโรงทาน ยืนเอียงอายอยู่ ณ โอกาสแห่งหนึ่ง คนจัดการทาน
เห็นนางก็คิดว่า คนอื่น ๆ ทำเสียงดังเหมือนกับชาวประมงแย่งซื้อและขาย
ปลาในที่ประชุมพร้อมหน้ากัน ได้แล้วก็ไป ส่วนเด็กหญิงผู้นี้ คงจักเป็น
กุลธิดา เพราะฉะนั้น อุปธิสัมปทาของนางจึงมีอยู่. แต่นั้นจึงถามนางว่า
แม่หนู เหตุไรเจ้าจึงไม่รับเพื่อนกะคนอื่น ๆ เล่า. นางตอบว่า พ่อท่าน
ดิฉันจักกระทำการเบียดเสียดกันขนาดนี้เข้าไปได้อย่างไร. เขาถามว่า แม่หนู
พวกเจ้ามีกี่คนเล่า. นางตอบว่า 3 คนจ้ะพ่อท่าน. เขาก็ให้ข้าว 3 ก้อน
นางก็ให้ข้าวนั้นแก่บิดามารดา บิดาหิวโหยมานานกินเกินประมาณก็เลยตาย.
รุ่งขึ้น นางก็ไปรับข้าวมา 2 ก้อนเท่านั้น วันนั้นภริยาเศรษฐี ก็ตายเสียต่อ
จากเวลาเที่ยงคืน เพราะลำบากด้วยอาหารและเพราะเศร้าโศกถึงเศรษฐีที่
ตาย. วันรุ่งขึ้น ธิดาเศรษฐีรับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น คนจัดการทาน
ใคร่ครวญดูกิริยาของนาง จึงถามว่า แม่หนู วันแรกเจ้ารับก้อนข้าวไป
3 ก้อน รุ่งขึ้นรับก้อนข้าวไป 2 ก้อน วันนี้รับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น
เกิดเหตุอะไรขึ้นหรือ นางจึงบอกเล่าเหตุการณ์นั้น . เขาถามว่า แม่หนู

เจ้าเป็นชาวบ้านไหนเล่า. นางก็เล่าเหตุการณ์โดยตลอด. เขากล่าวว่า แม่หนู
เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าก็เป็นธิดาเศรษฐีของเรา เราไม่มีเด็กหญิงอื่น ๆ เจ้าจง
เป็นธิดาเราเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วก็รับนางไว้เป็นธิดา.
นางได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานก็ถามว่า พ่อท่าน เหตุไรจึง
เสียงดังลั่น ดังนี้ . เขาก็ตอบว่า แม่หนู ในระหว่างคนมาก ๆ ไม่อาจทำ
ให้มีเสียงเบาลงได้ดอก. นางกล่าวว่า พ่อท่าน ฉันรู้อุบายในเรื่องนี้. เขา
ถามว่า ควรจะทำอย่างไรเล่า แม่หนู. นางบอกว่า พ่อท่าน พวกท่าน
จงทำรั้วไว้รอบ ๆ ประกอบประตู 2 ประตู. ให้ตั้งภาชนะ [แจกทาน]
ไว้ข้างใน ให้คนเข้าไปทางประตูหนึ่ง รับอาหารแล้วให้ออกไปทางประตู
หนึ่ง. เขารับว่า ดีละแม่หนู แล้วก็ให้กระทำอย่างนั้น. ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น
นับแต่นั้นมาโรงทานก็มีเสียงเงียบประหนึ่งสงบไป. แต่นั้นโฆสกเศรษฐี
ได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานมาแต่ก่อน. ครั้งนั้น เมื่อไม่ได้ยินเสียงนั้น.
จึงเรียกคนจัดการทานมา ถามว่า วันนี้ท่านให้เขาให้ทานแล้วหรือ เขา
ตอบว่า ให้ทานแล้ว นายท่าน. เศรษฐีถามว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุไรจึง
ไม่ได้ยินเสียงในโรงทานเหมือนแต่ก่อน. เขาตอบว่า จริงสิ นายท่าน
ผมมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ผมทำคามอุบายที่นางบอก จึงทำโรงทานให้ไม่มีเสียง.
เศรษฐีถามว่า เจ้าไม่มีธิดา เจ้าได้ธิดามาแต่ไหน. คนจัดการทาน
นั้น ก็เล่าเรื่องที่ธิดามาทุกอย่างแก่เศรษฐี เพราะไม่อาจจะหลอกลวงได้.
เศรษฐีกล่าวว่า พ่อมหาจำเริญ เหตุไรเจ้าจึงได้ทำกรรมหนักเห็นปานนี้
ไม่บอกเรื่องธิดาซึ่งอยู่ในสำนักตนแก่เราเสียตั้งนานเพียงนี้ เจ้าจงรีบให้
นำนางมาไว้เรือนเรา. คนจัดการทานนั้นฟังคำเศรษฐีแล้ว ก็ให้นำนางมา
ทั้งที่ตนไม่ประสงค์เช่นนั้น. ตั้งแต่นั้นมา เศรษฐีก็ตั้งนางไว้ในตำแหน่งธิดา

คิดว่าจะรับขวัญธิดา จึงจัดหญิงสาว 500 นางที่มีวัยรุ่นเดียวกัน จาก
สกุลที่มีชาติทัดเทียมกับตนมาเป็นบริวารของนาง.
ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนเสด็จครวญพระนครทอดพระเนตรเห็น
นางสามาวดีนั้น มีหญิงสาวเหล่านั้นแวดล้อมเล่นอยู่ ตรัสถามว่า เด็กหญิง
นี้ของใคร ทรงสดับว่า ธิดาของโฆสกเศรษฐี ตรัสถามว่า ไม่มีสามีหรือ
เมื่อเขาทูลว่า ไม่มีสามี จึงดำรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงไปบอกเศรษฐีว่าพระ-
ราชามีพระราชประสงค์ธิดาท่าน. เศรษฐีฟังแล้ว บอกเขาว่า เราไม่มีเด็ก
หญิงอื่น ๆ ไม่อาจให้ธิดาคนเดียวอยู่กับสามีได้. พระราชาทรงสดับคำนั้น
แล้วสั่งให้เศรษฐีและภริยาอยู่นอกบ้าน ให้ปิดประตูตีตราทั่วทุกหลังเรือน.
นางสามาวดีไปเล่นเสียนอกบ้านกลับมาเห็นบิดามารดานั่งอยู่นอกบ้าน จึง
ถามว่า แม่จ๋า พ่อจ๋า เหตุไรจึงมานั่งที่นี้. เศรษฐีและภริยาก็แจ้งเหตุนั้น.
นางจึงกล่าวว่า แม่จ๋า พ่อจ๋า อย่าทูลตอบพระราชาอย่างนั้นสิจ๊ะ บัดนี้
จงให้ทูลอย่างนี้นะพ่อนะว่า ธิดาของเราไม่อาจอยู่ผู้เดียวกับสามีได้ ถ้า
พระองค์ทรงให้หญิงสาว 500 คน บริวารของนางอยู่ด้วย นางจึงจะอยู่
ด้วย. เศรษฐีกล่าวว่า ดีละลูกเอ๋ย พ่อไม่รู้จิตใจของเจ้านี่ เศรษฐีและภริยา
จึงกราบทูลอย่างนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ตรัสว่า 1,000 คน
ก็ช่างเถิด จงนำมาทั้งหมด. ครั้งนั้น เศรษฐีและภริยาจึงนำธิดานั้น มี
หญิง 500 คนเป็นบริวารไปยังพระราชนิเวศน์ โดยมงคลนักษัตรฤกษ์
อันเจริญ พระราชาก็ทรงทำหญิง 500 คนเป็นบริวารของนางแล้ว ทรง
ทำอภิเษกให้นางอยู่ในปราสาทหลังหนึ่ง.
ก็สมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี เศรษฐี 3 คนคือโฆสกเศรษฐี กุกกุฏ-
เศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี เป็นสหายกันและกัน. เศรษฐีแม้ทั้ง 3 คน

ก็บำรุงดาบส 500 รูป แม้เหล่าดาบสก็อยู่ในสำนักเศรษฐีทั้ง 3 คนนั้น
4 เดือน อยู่ป่าหิมวันต์ 8 เดือน. ต่อมาวันหนึ่ง ดาบสเหล่านั้นมาจาก
ป่าหิมวันต์ หิวกระหายลำบากในทางกันดารมาก จึงพากันไปยังต้นไทร
ใหญ่ต้นหนึ่ง มุ่งหวังรับการสงเคราะห์จากสำนักเทวดาที่สถิตอยู่ ณ ต้น
ไทรใหญ่นั้น นั่งกันอยู่. เทวดาก็ยื่นมือที่ประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง
หลั่งถวายน้ำปานะที่ควรแก่การดื่มเป็นต้นแก่ดาบสเหล่านั้น ช่วยบรรเทา
ความลำบากได้. ดาบสเหล่านั้นประหลาดใจ เพราะอานุภาพของเทวดา
จึงถามว่า ท่านเทวดา ท่านทำกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินั้น. เทวดา
บอกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า พุทธะ ทรงอุบัติแล้วในโลก
บัดนี้ พระองค์ประทับอยู่กรุงสาวัตถี คฤหบคีชื่ออนาถบิณฑิกะอุปัฎฐาก
พระองค์อยู่ วันอุโบสถ อนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น ให้ค่าอาหารประจำวัน
แก่คนงานของคนแล้วให้ทำอุโบสถ ก็เราเข้าไปเพื่อต้องการอาหารเช้า
ในตอนกลางวันวันหนึ่ง ไม่เห็นคนงานใคร ๆ ทำงานเลย จึงถามว่า
เหตุไรวันนี้คนงานทั้งหลายไม่ทำงานกัน คนทั้งหลายจึงบอกเรื่องนั้น
แก่เรา เมื่อเป็นดังนั้น เราจึงกล่าวว่า บัดนี้ก็ล่วงไปตั้งครึ่งวันแล้ว เรา
จะอาจทำอุโบสถได้ครึ่งวันหรือหนอ. แม่นั้น คนทั้งหลายก็บอกแก่เศรษฐี
แล้ว เศรษฐีกล่าวว่า ทำครึ่งวันก็ได้ เราฟังคำนั้นแล้ว ก็สมาทานอุโบสถ
ครึ่งวันทำกาละเสียในวันนั้นนั่นเองแล้วมาได้สมบัตินี้. ครั้งนั้นดาบสเหล่า
นั้น เกิดปีติปราโมทย์ว่า เขาว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว ในโลก แม้
ประสงค์จะไปจากที่นั้นสู่กรุงสาวัตถี ก็คิดว่าพวกเศรษฐีผู้อุปัฏฐากเรามีอุป-
การะมาก จำเราจักบอกเรื่องนั้นแก่เศรษฐีเหล่านั้น จึงพากันไปกรุง
โกสัมพี พวกเศรษฐีกระทำสักการะสัมมานะเป็นอันมาก จึงบอกว่า พวก

เราจะไปกันในวันนี้นี่แหละ. พวกเศรษฐีต่อว่าว่า ท่านเจ้าข้า พวกท่านรีบ
ร้อนนักหรือ เมื่อก่อนท่านอยู่กัน 4-5 เดือนแล้วจึงไป จึงบอกเรื่องนั้น.
เมื่อเหล่าเศรษฐีบอกว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะไปกันทั้งหมด
ก็บอกว่าพวกเราจะไปกัน พวกท่านก็ค่อย ๆ มากันเถิด แล้วไปถึงกรุง
สาวัตถี บวชในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็บรรลุพระอรหัต.
ฝ่ายเศรษฐีเหล่านั้น มีเกวียน 500 เล่มเป็นบริวาร ถึงกรุงสาวัตถี
ในภายหลัง ตั้งค่ายพักในที่ไม่ไกลพระเชตวันวิหาร เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดา
ทรงแสดงธรรมด้วยอำนาจจริยาของคนเหล่านั้น จบเทศนา เศรษฐีทั้ง 3
คน ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น ถวายมหาทาน
แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขในวันรุ่งขึ้น นิมนต์เพื่อ
เสวยในวันนี้ โดยทำนองนั้นนั่นแล ถวายขันธวารภัตทาน (ทานของ
คนตั้งค่ายพัก) สิ้นไปครึ่งเดือน จึงทูลอ้อนวอนพระ ศาสดา เพื่อเสด็จ
มาสู่นครของตน. พระศาสดาตรัสว่า พระตถาคตทั้งหลายยินดีนักในเรือน
ว่าง ดังนี้ . เศรษฐีเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทราบกัน
แล้ว แล้วกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดเสด็จมาตามสาสน์ที่พวกข้า-
พระองค์ส่งมานะพระเจ้าข้า ถวายบังคมพระศาสดาทำประทักษิณเวียนขวา
3 รอบแล้ว กลับไปนครของตนทั้ง 3 คน ก็ให้สร้างพระวิหารใน
อุทยานของตน วิหารที่โฆสกเศรษฐีสร้าง ชื่อว่า โฆสิตาราม ที่กุกกุฏ-
เศรษฐีสร้าง ชื่อว่ากุกกุฏาราม ที่ปาวาริกเศรษฐีสร้าง ชื่อว่าปาราริกัมพวัน-
วิหาร. เศรษฐีเหล่านั้นให้สร้างวิหารเสร็จแล้วส่งทูตไปทูลพระศาสดาว่า ขอ
พระศาสดาโปรดเสด็จมาพระนครนี้ เพื่อสงเคราะห์พวกข้าพระองค์เถิด.

พระศาสดาทรงพระดำริว่า จักเสด็จไปกรุงโกสัมพี มีภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกจาริก ทรงเห็นอุปนิสัยพระอรหัตของ
มาคัณฑิยพราหมณ์ ในระหว่างทาง จึงงดการเสด็จไปกรุงโกสัมพี เสด็จ
ไปยังนิคม ชื่อว่ากัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ. สมัยนั้น มาคัณฑิยพราหมณ์
บำเรอไฟอยู่นอกบ้านตลอดคืนยังรุ่ง เช้าตรู่ จึงเข้ามาบ้าน วันรุ่งขึ้น
แม้พระศาสดา ก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เดินสวนทางกัน แสดง
พระองค์แก่มาคัณฑิยพราหมณ์. มาคัณฑิยพราหมณ์นั้น เห็นพระทศพล
ก็คิดว่า เราเที่ยวแสวงหาเด็กหนุ่ม ที่ทัดเทียมกันกับรูปสมบัติแห่งธิดา
ของเรา ตลอดเวลาเท่านี้ เมื่อรูปสมบัติแม้มีอยู่ เราก็ปรารถนาการ
บรรพชาที่ผู้นี้ถืออยู่เช่นนี้เหมือนกัน แต่บรรพชิตผู้นี้ งามน่าชม ช่าง
เหมาะสมกับธิดาของเราจริง ๆ จึงรีบกลับไปเรือน. นับว่า พราหมณ์นั้น
เป็นวงศ์บรรพชิตวงศ์หนึ่งมาก่อน ด้วยเหตุนั้น พอเห็นบรรพชิตเท่านั้น
จิตใจของเขาจึงน้อมไป พราหมณ์ปรึกษากะนางพราหมณีว่า น้องเอ๋ย
ฉันปรารถนาการบรรพชาอย่างนี้ ฉันไม่เคยพบบรรพชิตเห็นปานนี้ เป็น
เพศพราหมณ์มีผิวพรรณดั่งทอง ช่างเหมาะสมกับธิดาแท้ ๆ จงรีบแต่ง
ตัวธิดาของเจ้าสิ. เมื่อนางพราหมณีกำลังแต่งตัวธิดาอยู่ พระศาสดาก็ทรง
แสดงพระเจดีย์คือรอยพระบาทไว้ในที่ที่เขาพบพระองค์ เสด็จเข้าไป
ภายในพระนคร. ขณะนั้น พราหมณ์พาธิดาพร้อมกับนางพราหมณี
มายังที่นั้น ตรวจดูรอบ ๆ เพราะเขามาเวลาที่พระศาสดาเสด็จเข้าไปใน
หมู่บ้าน ไม่เห็นพระทศพล ก็บริภาษนางพราหมณีว่า การกระทำของเจ้านี้
ชื่อว่าดีไม่มีเลย เพราะเจ้ามัวทำชักช้าอยู่ บรรพชิตผู้นั้นจึงออกไปเสีย.
พราหมณ์ตรวจดูที่พระศาสดาเสด็จไปว่า บรรพชิตไปแล้ว ช่างก่อนเถิด

ไปทางทิศไหนหรือไปทางทิศนี้ ก็พบเจดีย์คือรอยพระบาท กล่าวว่า
แม่มหาจำเริญ นี้รอยเท้าบุรุษนั้น เขาคงจักไปทางนี้. ขณะนั้น นาง-
พราหมณีเห็นเจดีย์คือรอยพระบาทของพระศาสดา คิดว่า ตาพราหมณ์
ผู้นี้ช่างโง่จริงหนอ ไม่รู้ความหมายแม้เพียงคัมภีร์ของตน จึงทำการ
เย้ยหยัน พูดกับพราหมณ์นั้นว่า ท่านพราหมณ์ ท่านโง่เพียงนี้แล้ว
ยังจะมาพูดว่า เราจะให้ธิดาแก่บุรุษผู้เห็นปานนั้น. ด้วยว่า ธรรมดา
รอยเท้าของบุรุษผู้ที่ราคะย้อมแล้ว โทสะประทุษร้ายแล้ว โมหะให้ลุ่มหลง
แล้วจะไม่เป็นเช่นนั้น ดูสิพราหมณ์ นั่นเป็นรอยเท้าของพระสัพพัญญู-
พุทธะ ผู้มีหลังคาเปิดแล้วในโลก.
รตฺตสฺส หิ อุกฺกุฏิกํ ปทํ ภเว
ทุฏฺฐสฺส โหติ อวกฑฺฒิตํ ปทํ
มูฬฺหสฺส โหติ สหสานุปีฬิตํ
วิวฏจฺฉทสฺส อิทมีทิสํ ปทนฺติ.
แท้จริง รอยเท้าของผู้ที่ถูกราคะย้อมแล้วพึงเป็น
รอยเท้ากระหย่ง รอยเท้าของผู้ที่ถูกโทสะประทุษ-
ร้ายแล้ว พึงเป็นรอยเท้าจิกปลาย รอยเท้าของผู้ที่ถูก
โมหะให้ลุ่มหลงแล้ว พึงเป็นรอยเท้าที่กดลงส้นเท้า
นี้เป็นรอยเท้าของผู้ที่มีหลังคาเปิดแล้วแล.

เมื่อนางพราหมณีพูดเพียงนั้น พราหมณ์นั้นก็ไม่ฟังคำ กลับหาว่า
เป็นหญิงปากร้ายเสียซ้ำไป. เมื่อสองสามีภริยาพูดทุ่มเถียงกันอยู่นั่นแล
พระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต พร้อมกับภิกษุสงฆ์ เสวยเสร็จแล้ว

จึงเสด็จออกไป ใกล้ทางที่พราหมณ์แลเห็นได้. พระแลเห็นพระ-
ศาสดาเสด็จมาแต่ไกล ก็บอกนางพราหมณี ร่าเริงยิ้มแย้มพูดว่า ผู้นี้
คือบุรุษผู้นั้น จึงยืนทรงพระพักตร์ทูลว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญ ข้าพเจ้า
เที่ยวหาท่านตั้งแต่เช้า. ในชมพูทวีปนี้ ไม่มีสตรีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับ
ธิดาของข้าพเจ้า แม้บุรุษก็ไม่มีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับท่าน ข้าพเจ้าให้ธิดา
ของข้าพเจ้า เพื่อท่านจะได้เลี้ยงดู ท่านรับนางไปเถิด. ครั้งนั้น
พระศาสดาจึงตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์ แม้แต่เหล่าเทพธิดาอยู่
ในสวรรค์ชั้นกามาวจร มีรูปเลอเลิศ มีผิวพรรณต่างๆ กัน มายืนใน
สำนักกล่าวถ้อยคำเพื่อประเล้าประโลมเรา เรายังไม่ปรารถนา จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงธิดาของท่านว่าเราจะรับ ครั้นตรัสแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ทิสฺวาน ตณฺหํ อรติญฺจ ราคํ
นาโหสิ ฉนฺโท อปิ เมถุนสฺมึ
กิเมวิทํ มุตฺตกรีสปุณฺณํ
ปาทาปิ นํ สมฺผุสิตุํ น อิจฺเฉ.
เพราะเห็นนางตัณหา นางอรดี นางราคา แม้
ความพอใจในเมถุน ก็ไม่มีเลย สรีระนี้ เต็มไปด้วย
อุจจาระปัสสาวะทั้งนั้นหนอ แม้แต่เท้า เราก็ไม่
ปรารถนาจะแตะต้องนาง.

นางมาคัณฑิยาคิดว่า ธรรมดาคนที่ไม่ต้องการพูดปฏิเสธว่า อย่าเลย
เท่านี้ก็ควร แต่บรรพชิตผู้นี้ ทำสรีระของเราให้เป็นที่เต็มไปด้วย
อุจจาระปัสสาวะ แล้วยังพูดว่า แม้แต่เท้า ก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้อง.

เราเมื่อได้ตำแหน่งยิ่งใหญ่ตำแหน่งหนึ่ง จักดูจุดจบของบรรพชิตนั้นแล้ว
ผูกอาฆาตไว้. พระศาสดามิได้ทรงใส่พระทัยนาง ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา
โปรดพราหมณ์ ด้วยอำนาจจริยาของเขา. จบเทศนา สองสามีภริยา
ก็ดำรงอยู่ในอนาคามิผลแล้วดำริว่า บัดนี้เราไม่ต้องการครองเรือนแล้ว
จึงให้มาคัณฑิยพราหมณ์ผู้เป็นอารับธิดาไว้ ทั้งสองคนก็บวชแล้วบรรลุ
พระอรหัต. ครั้งนั้น พระเจ้าอุเทนได้ทรงทำการพูดจาทกลงกับมาคัณฑิย-
พราหมณ์ผู้เป็นอา แล้วทรงนำเด็กสาวมาคัณฑิยา มายังพระราชนิเวศน์
ด้วยพระราชานุภาพ ทรงอภิเษกพระราชทานปราสาทต่างหาก เพื่อพระ-
นางมาคัณฑิยากับบริวารสตรี 500 ได้อยู่.
ฝ่ายพระศาสดา เสด็จจาริกโดยลำดับ มาถึงกรุงโกสัมพี. ท่าน
พวกเศรษฐี [ 3 คน] รู้ว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงออกไปรับเสด็จ
ถวายบังคนด้วยเบญจางคประดิษฐ์นั่ง ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิหารทั้ง 3 นี้ ข้าพระองค์
สร้างเจาะจงพระองค์ ขอได้โปรดทรงรับวิหารทั้งหลาย เพื่อสงเคราะห์
สงฆ์ที่จาริกมาแต่ทิศทั้ง 4 เถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
วิหารไว้. แม้เศรษฐีเหล่านั้น ก็อาราธนาพระศาสดา เพื่อเสวยอาหาร
ในวันรุ่งขึ้น ถวายบังคมแล้วก็กลับบ้าน. ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยา ทรง
ทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงให้เรียกเหล่านักเลงผู้ตัดช่องมาแล้ว
ให้สินจ้างแก่นักเลงเหล่านั้น ตรัสว่า พวกเจ้าจงด่าพระสมณโคดมด้วย
ทำนองอย่างนี้ แล้ส่งไป. นักเลงเหล่านั้นก็ด่าพระศาสดาพร้อมทั้งบริวาร
เวลาเสด็จเข้าภายในหมู่บ้าน ด้วยเรื่องสำหรับค่า มีอย่างต่าง ๆ. ท่าน
พระอานนท์กราบทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เราจักไม่อยู่

ในสถานที่ด่ากันเห็นปานนี้ จักไปนครอื่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
อานนท์ ธรรมดาพระตถาคตย่อมไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม 8 ประการ
เสียง [ด่า] แม้นี้ก็จักดำเนินไปไม่เกิน 7 วัน ทัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
จักตกอยู่เหนือพวกที่ด่านั่นแหละ เธออย่าวิตกไปเลย. ส่วนเศรษฐีของ
นครทั้ง 3 คนนั้น ทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไป ด้วยสักการะ
ยิ่งใหญ่ ถวายมหาทาน. เศรษฐีเหล่านั้นกำลังถวายทานต่อเนื่องกันไป
ก็ล่วงเวลาไปเดือนหนึ่ง. ครั้งนั้น เศรษฐีเหล่านั้น ก็ดำริอย่างนี้ว่า
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงอุบัติมาอนุเคราะห์โลกทั้งปวง เราจัก
ให้โอกาสแก่คนเหล่าอื่นกันบ้าง. เศรษฐีชาวกรุงโกสัมพีนั้น จึงให้โอกาส
แก่ประชาชนดังแต่นั้นมา ชาวกรุงทั้งหลาย จึงถวายมหาทาน โดยจัด
เป็นสายคนร่วมถนน สายคนร่วมคณะ.
ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในเรือน
ของหัวหน้าช่างทำดอกไม้. ขณะนั้นนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้พระนาง
สามาวดี นำกหาปณะ 8 กหาปณะไปเรือนนั้น เพื่อต้องการดอกไม้
หัวหน้าช่างทำดอกไม้ เห็นนางก็กล่าวว่า แม่อุตตรา ไม่มีเวลาทำดอกไม่
ให้เธอดอก ฉันจักเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้เธอ
ก็จงเป็นสหายในการเลี้ยงดูด้วย. ด้วยอาการอย่างนี้ ตั้งแต่นี้ไป เธอก็
จักพ้นจากการต้องขวนขวายรับใช้คนเหล่าอื่น. แต่นั้น นางขุชชุตตรา
บริโภคอาหารที่คนได้แล้ว ก็ทำการขวนขวายในโรงอาหาร เพื่อพระ-
พุทธะทั้งหลาย. นางเรียนธรรมที่พระศาสดาตรัสด้วยอำนาจอุปนิสันนกถา
ไว้ได้ทั้งหมด แต่ฟังอนุโมทนาแล้วก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. นางให้
4 กหาปณะในวันอื่น ๆ รับดอกไม้ทั้งหลายแล้วก็ไป แต่ในวันนั้นไม่

เกิดจิตคิดอยากได้ในทรัพย์ของผู้อื่น เพราะเป็นผู้เห็นสัจจะแล้ว จึงให้
หมดทั้ง 8 กหาปณะ. แล้วบรรจุดอกไม้เต็มกระเช้า นำดอกไม้ไปสำนัก
พระนางสามาวี. ลำดับนั้น พระนางตรัสถามนางว่า แม่อุตตรา ใน
วันก่อน ๆ เจ้านำดอกไม้มาไม่มากเลย แต่วันนี้ดอกไม้มาก พระราชา
ของเราทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นหรือ. นางไม่ปิดบังกรรมที่คนทำแต่ก่อน
เพราะเป็นผู้ไม่ควรพูดเท็จ บอกเรื่องทั้งหมดเลย ครั้นถูกถามว่า เพราะ
เหตุไรวันนี้จึงนำมามาก จึงกล่าวอย่างนี้ว่า วันนี้ดิฉันฟังธรรมของพระ-
ทศพล กระทำให้แจ้งอมที่ธรรมแล้ว เพราะเหตุนั้นดิฉันจึงไม่หลอกลวง
พวกท่านเจ้าค่ะ. สตรีทั้งหลายฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า แม่อุตตรา
เจ้าจงให้อมตธรรมที่เจ้าได้แล้ว แก่พวกเราด้วย แล้วก็พากันเหยียดมือ
ออกขอทุกคน. นางจึงกล่าวว่า แม่เจ้าเอ๋ย ให้อย่างไม่ได้ดอก แต่
ดิฉันจักแสดงธรรมแก่ท่าน ตามทำนองที่พระศาสดาตรัสแล้ว. เมื่อเหตุ
ของคนมีอยู่ พวกท่านจักได้ธรรมนั้น. สตรีทั้งหลายกล่าวว่า ถ้าอย่าง
นั้น จงกล่าวเถิดแม่อุตตรา. นางกล่าวว่า จะกล่าวอย่างนั้นไม่ได้ดอก
จงจัดอาสนะสูง ๆ แก่ดิฉัน พวกท่านจงนั่งอาสนะต่ำ ๆ. สตรีแม้ทั้ง
500 นางนั้น ก็ให้อาสนะที่สูงแก่นางขุชชุตตรา ส่วนตงเองนั่งอาสนะ
ที่ต่ำ. แม้นางขุชชุตตรา ตั้งอยู่ในเสกขปฏิสัมภิทา แสดงธรรมแก่สตรี
เหล่านั้น. จบเทศนา สตรีทั้งหมดมีพระนางสามาวดีเป็นพระประมุข
ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. ตั้งแต่นั้นมา สตรีเหล่านั้นก็ให้นางขุชชุตตรา
เลิกทำหน้าที่ทำงานรับใช้ แล้วกล่าวว่า ท่านฟังธรรมกถาของพระศาสดา
แล้วนำมาให้พวกเราฟัง. ตั้งแค่นั้นมา แม้นางขุชชุตตรา ก็ได้กระทำ
อย่างนั้น.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร นางขุชชุตตรานี้ จึงบังเกิดเป็นทาสี.
ตอบว่า ดังได้สดับมา นางขุชชุตตรานี้ ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า กัสสปะ ได้ให้สามเณรีรูปหนึ่งทำการรับใช้ตน ด้วยกรรมนั้น นาง
จึงบังเกิดเป็นทาสีของคนอื่นถึง 500 ชาติ. ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเป็น
หญิงค่อม. ตอบว่า เขาเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ นางอยู่ใน
ราชนิเวศน์ของพระเจ้ากรุงพาราณสี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ประจำราชสกุลเป็นคนค่อม จึงทำการเย้ยหยันต่อหน้าเหล่าสตรีที่อยู่ด้วย
กันกับตน เที่ยวทำอาการว่าเป็นคนค่อม. เพราะเหตุนั้น นางจึงบังเกิด
เป็นหญิงค่อม. ถามว่า ก็นางทำบุญอะไรจึงเป็นผู้มีปัญญา. ตอบว่า
เขาเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้านั่งในอุบัตินางบังเกิดแล้ว อยู่ในราชนิเวศน์ของ
พระเจ้ากรุงพาราณสี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า 8 องค์ อบรมที่เต็ม
ด้วยข้าวปายาสร้อนจากรพนิเวศน์เดินไป กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า โปรด
หยุดพักตรงนั้น แล้วต่อไป จึงปลดทองปลายแขน 8 วง ถวายไป.
ด้วยผลของกรรมนั้น นางจึงบังเกิดเป็นผู้มีปัญญา.
ครั้งนั้นแล สตรี 500 นาง บริวารของพระนางสามาวดี แม้
แทงตลอดสัจจะแล้ว ก็ไม่ได้ไปสำนักของพระศาสดาเฝ้าพระพุทธเจ้า
คามกาลอันสมควร เพราะพระราชาไม่ทรงมีศรัทธา. เพราะเหตุนั้น
เมื่อพระทศพลเสด็จพระราชดำเนินระหว่างถนน เนื้อหน้าต่างท่งหลาย
มีไม่พอ สตรีเหล่านั้นที่เจ้าช่องในห้องของคนมองดู. [พระศาสดา].
ต่อมาวันหนึ่ง พระนางมาคัณฑิยา เสด็จดำเนินออกจากชั้นปราสาทของ
พระองค์ ไปยังที่อยู่ตรีเหล่านั้น เห็นช่องของห้องจึงทรงถามว่า
นี้อะไร เมื่อสตรีเหล่านั้นไม่รู้เรื่องการผูกอาฆาตในพระศาสดาของพระ-

นางมาคัณฑิยาจึงทูลว่า พระศาสดาเสด็จมาพระนครนี้ พวกเรายืนที่ตรงนั้น
จักเห็นจักบูชาพระศาสดา เจ้าค่ะ ทรงคิดว่า สตรีเหล่านี้เป็นอุปัฏฐายิกา
ของพระสมณโคดมนั้น เราจักรู้กิจที่พึงทำแม้แก่สตรีเหล่านี้ แล้วเสด็จไป
กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สตรีเหล่านี้ พร้อมกับพระ-
นางสามาวดี ปรารถนาจะออกไปภายนอก มันจะทำชีวิตของพระองค์
ให้ม้วยมรณ์ที่สุด 2 - 3 วัน เพคะ. พระราชาไม่ทรงเชื่อว่าสตรีเหล่านั้น
จักกระทำอย่างนั้น. แม้เมื่อพระนางมาคัณฑิยาทูลอีก ก็ไม่ทรงเชื่ออยู่
นั่นเอง. ครั้งนั้น แม้เมื่อพระนางกราบทูลถึง 3 ครั้ง พระราชาก็มิได้
ทรงเธอ พระนางมาคัณฑิยาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้า
พระองค์ไม่ทรงเชื่อ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปยังที่อยู่ของสตรีเหล่านั้นแล้ว
ทรงสอบสวนดู เพคะ. พระราชาเสด็จไปพบช่องในห้องทั้งหลาย ตรัส
ถามว่า อะไร เมื่อเขากราบทูลความข้อนั้น ก็มิได้ทรงกริ้วสตรีเหล่านั้น
ไม่ตรัสอะไร เพียงรับสั่งให้ปิดช่องเหล่านั้นเสีย. พระนางมาคัณฑิยาตรัสว่า
พระนางสามาวดีกับบริวารไม่ทรงมีความเยื่อใย หรือความรักในพระองค์
เมื่อหน้าต่างมีไม่พอ จึงเจาะช่องเหล่านั้น ทำโอกาสมองดูพระสมณโคดม
เสด็จไประหว่างถนน. ตั้งแต่นั้นมา พระราชาจึงโปรดให้ทำหน้าต่าง
กรุตาข่ายไว้ในปราสาทของสตรีเหล่านั้น.
พระนางมาคัณฑิยานั้น ไม่อาจทำพระราชาให้ทรงกริ้วด้วยเหตุนั้น
ได้ จึงกราบทูลว่า เทวะ สตรีเหล่านั้นมีความรักหรือไม่มีความรักใน
พระองค์ เราจักรู้กัน ขอพระองค์โปรดส่งไก่ 8ตัวไปให้สตรีเหล่านั้น
ปิ้งถวายพระองค์สิ เพคะ. พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วรับสั่งว่า จงปิ้ง
ไก่เหล่านี้ส่งไป ทรงส่งไก่ 8 ตัวแก่พระนางสามาวดี. พระอริยสาวิกา

ผู้เป็นโสดาบัน รู้ว่า ไก่ยังเป็นอยู่ จักปิ้งได้อย่างไร จึงตรัสปฏิเสธว่า
อย่าเลย ไม่ปรารถนาแม้แต่จะเอาพระหัตถ์จับต้อง. พระนางมาคัณฑิยา
กราบทูลว่า ข้อนั้นยกไว้ก็ได้ พระมหาราชเจ้า ขอได้โปรดทรงส่งไก่
เหล่านี้นี่แหละ เพื่อปิ้งถวายพระสมณโคดม. พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น.
พระนางมาคัณฑิยาทรงให้คนฆ่าไก่เสียในระหว่างทางแล้ว ส่งไปด้วยรับสั่ง
ว่า พระนางสามาวดีจงแกงไก่เหล่านี้ถวายพระสมณโคดม. พระนาง
สามาวดีนั้น เพราะทรงเข้าพระทัยอย่างนั้น และเพราะมีพระทัยจดจ่อต่อ
พระทศพล จึงแกงไก่ส่งไปถวายแด่พระทศพล. พระนางมาคัณฑิยา
ทูลว่า ทอดพระเนตรเอาเถิด พระมหาราชเจ้า ดังนี้ ก็ไม่สามารถทำ
พระราชาให้ทรงกริ้วได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ .
ก็พระเจ้าอุเทนนี้ประทับอยู่ในสถานที่อยู่ของบรรดานางเทวีเหล่านั้น
พระองค์หนึ่ง ๆ พระองค์ละ 7 วัน. ส่วนพระนางมาคัณฑิยานี้ ใช้ให้
คนเอาลูกงูเห่าตัวหนึ่งใส่ไว้ในปล้องไม้ไผ่ วางไว้ สถานที่อยู่ของตน.
พระราชาเสด็จไปที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็ทรงถือพิณชื่อหัตถิกันตะ. เวลา
พระราชเสด็จมาหาตน พระนางมาคัณฑิยาก็ใส่ลูกงูนั้นไว้ภายในพิณ ให้
ปิดช่องไว้. กราบทูลว่า พระมหาราชเจ้า เวลาเสด็จไปหานางสามาวคี
ขึ้นชื่อว่านางสามาวดีเข้าข้างพระสม โคดม ไม่นำพาพระองค์เลย ทำการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คิดแต่จะให้โทษพระองค์เท่านั้น ขอพระองค์อย่า
ทรงประมาทนะเพคะ. พระราชาทรงถึงสถานที่อยู่ของพระนางสามาวดี
ประทับอยู่ 7 วัน ได้เสด็จไปนิเวศน์ของพระนางมาคัณฑิยาอีก 7 วัน .
เมื่อพระราชากำลังเสด็จมา พระนางมาคัณฑิยาทำเหมือนจะทูลว่า พระ-
มหาราชเจ้า พระนางสามาวีไม่หาความผิดของพระองค์ดอกหรือเพคะ

รับพิณจากพระหัตถ์ของพระราชามาเขย่าตรัสว่า พระมหาราชเจ้า อะไร
อยู่ข้างในนี้เพคะ แล้วทำโอกาสให้งูออกไป ร้องว่า ว้าย งูอยู่ข้างใน
แล้วทิ้งพิณลงหนีไป. เวลานั้น พระราชาทรงตวาดด้วยความเกรี้ยวกราด
เหมือนไฟไหม้ป่าไม้ไผ่ฉะนั้น และเหมือนเตาไฟใส่เม็ดเกลือลงไปฉะนั้น
รับสั่งว่าจงเรียกสานาวดีกับบริวารมา. พวกราชบุรุษก็ไปเรียก. พระนาง
สามาวดีนั้นทรงทราบว่าพระราชาทรงกริ้ว จึงให้สัญญาแก่เหล่าสตรีพวก
นั้น ตรัสว่า พระราชาทรงประสงค์จะฆ่าพวกเราจึงเรียกมา วันนี้พวกเรา
จงแผ่เมตตาเจาะจงพระราชาตลอดวันนะ. พระราชาทรง เรียกหญิงเหล่านั้น
ให้ทุกคนยืนเรียงกัน ทรงจับธนูคันใหญ่ ทรงสอดลูกธนูกำซาบยาพิษ
ประทับยืนเหนี่ยวธนูเต็มที่. ขณะนั้นสตรีทั้งหมดนั้นมีพระนางสามาวดี
เป็นประมุข ก็พากันแผ่เมตตาโดยเจาะจง. พระราชาก็ไม่สามารถยิงลูกธนู
และปลดลูกธนูลงได้. พระเสโทก็หลั่งออกจากพระวรกาย พระวรกาย
สั่นเทิ้ม พระเขฬะไหลออกจากพระโอษฐ์. ไม่ทรงเห็นที่พึ่งที่ควรจะพึ่ง
ได้. ลำดับนั้น พระนางสามาวดีกราบทูลพระราชาว่า พระมหาราชเจ้า
ทรงลำบากหรือเพคะ. พระราชาตรัสว่า จริงจ้ะเทวี พี่ลำบาก. ดีละ
เจ้าจงเป็นที่พึ่งของพี่ด้วย. พระนางสามาวดีกราบทูลว่า ดีละ พระ-
มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงหันลูกธนูลงดินเพคะ. พระราชาก็ทรง
ปฏิบัติตาม. พระนางอธิษฐานว่า ขอลูกธนูจงหลุดจากพระหัตถ์ของ
พระราชา. ขณะนั้นลูกธนูก็หลุด. ในขณะนั้นเอง พระราชาทรงดำลง
ในน้ำ เสด็จมาทั้งที่พระเกศาเปียก พระภูษาเปียก หมอบลงแทบพระบาท
พระนางสามาวดีตรัสว่า ยกโทษให้พี่เถิด เทวี พี่ไม่ทันได้ใคร่ครวญ
ก็ทำกรรมนั้น ตามคำขอพวกคนที่จะให้พี่แตกกัน. พระนางตรัสว่า

เทวะ หย่อมฉันขออดโทษถวายเจ้าพี่เพคะ. พระราชาตรัสว่า ดีละเทวี
ข้อนี้ก็เป็นอันเจ้ายกโทษให้พี่แล้ว. แล้วตรัสอีกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พวกเจ้าจงถวายทานแด่พระทศพลได้ตามที่เจ้าจะต้องการ ภายหลังภัต
จะไปวิหารฟังธรรมกถาก็ได้ เราจะให้การรักษาดูแลเอง. พระนาง
กราบทูลว่า เทวะ ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่วันนี้ไป ขอทรงโปรดขอพระภิกษุ
สักองค์หนึ่งมาสอนธรรมแก่พวกหม่อมฉันเพคะ. พระราชาเสด็จไปสำนัก
พระศาสดา เมื่อจะทรงขอ ก็ทรงขอพระอานันทเถระ. จำเดิมแต่นั้น
สตรีเหล่านั้น ให้นิมนต์พระเถระมาแล้วทำสักการะเคารพนับถือ เล่าเรียน
ธรรมในสำนักพระเถระ เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว. วันหนึ่ง สตรีเหล่านั้น
เลื่อมใสในอนุโมทนาของพระเถระ ได้ถวายอุตตราสงค์ ผ้าห่ม 500 ผืน
แด่พระเถระ. เขาว่า ในชาติก่อน พระเถระได้ถวายชิ่นผ้าบนฝ่าพระหัตถ์
พร้อมด้วยเข็มเล่มหนึ่งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งในเวลาเย็บผ้า. ด้วย
ผลของเข็ม พระเถระนั้นได้เป็นผู้มีปัญญามากในอัตภาพนี้ ทั้งได้ผ้า 500
ผืน ตามทำนองนี้ด้วยผลแห่งชิ้นผ้า.
แต่นั้น พระนางมาคัณฑิยาไม่เห็นกิจที่จะพึงทำอย่างอื่น จึงกราบทูล
ว่า พระมหาราชเจ้า พวกเราจะไปพระอุทยานกันนะเพคะ พระราชา
ทรงอนุญาตว่า ดีละเทวี ดังนี้แล้ว พระนางจึงให้เรียกอามาสั่งว่า เวลา
พวกฉันไปสวน อาจงไปสถานที่อยู่ของพระนางสามาวดี ขังพระนาง
สามาวดีพร้อมทั้งบริวารไว้ข้างใน บอกว่าเป็นพระรับสั่งของพระราชา
แล้วปิดประตูเสีย ให้เอาฟางมาพันไว้แล้วจงจุดไฟเผานิเวศน์เสีย. นาย
มาคัณฑิยาฟังคำพระนางแล้ว ก็กระทำตามที่พระนางสั่งทุกประการ.
วันนั้นสตรีเหล่านั้น ทั้งหมดไม่อาจเข้าสมาบัติได้ เพราะอานุภาพของอุปปี-

ฬกกรรมที่ทำในชาติก่อน ก็มอดไหม้ประหนึ่งกองขี้เถ้าพร้อมกันหมด.
เหล่าทหารรักษาสตรีเหล่านั้นก็ไปเฝ้ากราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ คนทั้งหลาย
ได้กระทำกรรมชื่อนี้ . พระราชาทรงสืบสวนว่าใครทำ ก็ทรงทราบว่า
พระนามมาคัณฑิยาใช้ให้คนทำ จึงรับสั่งให้เรียกพระนางมาตรัสว่า เจ้า
ทำกรรมได้งดงามแล้ว เจ้ากระทำกรรมที่เรากำลังจะทำ แม่มหาจำเริญ
ความพยายามเพื่อจะฆ่าเราที่ก่อขึ้นและก่อขึ้นแล้ว ถูกทำลายลงแล้ว เจ้า
จะให้สมบัติแก่เจ้า จงเรียกพวกญาติของเจ้ามา. พระนางฟังพระราชดำรัส
แล้ว ก็ให้เรียกคนที่ไม่เป็นญาติทำให้เป็นญาติมาแล้ว. พระราชาทรงทราบ
ว่าคนทั้งหมดประชุมกันพร้อมแล้ว ก็ให้ขุดหลุมฝังคนเหล่านั้นลงเหลือ
แค่คอที่พระลานหลวง แล้วให้ทำลายศีรษะที่โผล่ขึ้นนาโดยให้ไถด้วยไถ
เหล็กขนาดใหญ่ ให้ตัดพระนางมาคัณฑิยาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้ทอดใน
กระทะทอดขนม.
ถามว่า กรรมที่พระนางสามาวดีกับบริวารถูกไฟเผาคือกรรมอะไร.
ตอบว่า ดังได้สดับมา พระนางสามาวดีนั้น เมื่อพระพุทธเจ้า
ยังไม่อุบัติ เล่นน้ำในแม่น้ำคงคากับสตรี 500 คนนั้นนั่นแหละ ยืน
นอกท่าน้ำ ก็เกิดหนาวเย็น เห็นบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้าในที่
ไม่ไกล ไม่ตรวจดูข้างในแล้วจุดไฟพากันผิงไฟ ภายในบรรณศาลาพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้าสมาบัติ. สตรีเหล่านั้น เมื่อเปลวไฟโทรมลงจึงเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า คิดกันว่า พวกเราทำกรรมอะไรหนอ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าองค์นี้เป็นพระประจำราชสกุล พระราชาทรงพบเห็นเหตุนี้แล้ว
จักทรงกริ้วพวกเรา บัดนี้ ควรที่พวกเราจะฌาปนกิจพระองค์ให้เสร็จ
เรียบร้อยไป จึงใส่ฟืนอื่น ๆ จุดไฟ เมื่อเปลวไฟโทรมลงอีก พระปัจเจก-

พุทธเจ้าออกจากสมาบัติ สะบัดจีวรแล้วก็เหาะขึ้นสู่เวหา ทั้งที่สตรีเหล่านั้น
มองเห็นอยู่นั้นแล. สตรีเหล่านั้นไหม้ในนรกด้วยกรรมนั้น แล้วก็ถึงความ
พินาศครั้งนี้ด้วยเศษกรรมที่สุกงอมแล้ว. แต่ในบริษัท 4 เกิดการสนทนา
กันขึ้นว่า นางขุชชุตตราผู้พหูสูตตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรี กล่าวธรรมแก่
สตรี 500 คนให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ฝ่ายพระนางสามาวดีแผ่เมตตา
ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้. มหาชนก็กล่าวคุณของพระนาง. เรื่อง
ที่เกิดขึ้นอย่างนี้. ต่อมา พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร ทรง
ทำเหตุนั้นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่องแล้วทรงสถาปนานางขุชชุตตรา
ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสิกาอริยสาวิกาผู้เป็นพหูสูต
ทรงสถาปนาพระนางสามาวดีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสิกา
ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาสูตรที่ 5


5. ประวัตินางอุตตรานันทมารดา



ในสูตรที่ 5 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ณายีนํ ท่านแสดงว่า นางอุตตรานันทมารดาเป็นเลิศ
กว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในฌาน.
ดังได้สดับมา นางอุตตรานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุ-
มุตตระ
บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมกถาของพระศาสดา